เกร็ดญี่ปุ่น ปี 2006 |
เงิน Yen ( )หรือ En ( สตางค์ของคนญี่ปุ่น ที่ญี่ปุ่นแน่นอนว่าต้องใช้เงินเยนมารู้จักเงินเยนให้ลึกซึ้งกันเถอะ เงินเยนมีเงินที่เป็นแบงค์อยู่ 4 แบบ และเงินเหรียญ 6 แบบ เงินแบงค์มีราคาดังนี้ 1,000, 2,000, 5,000 และ 10,000 และเงินเหรียญมี เหรียญ 1, 5, 10, 50, 100 และ 500 เยน ที่ญี่ปุ่นไม่ต้องกลัวว่าถ้าเรามีแบงค์หมื่นเยนแล้วเขาจะไม่มีทอนหากซื้อของเพียงแค่ร้อยเยน ยังไงเขาก็มักจะมีทอนและไม่ต้องห่วงว่าจะมีสายตาต่อว่าใด ๆ หากใช้แบงค์ใหญ่ซื้อของ หากเขาไม่มีทอนจริง ๆ ยังไงซะเขาก็จะวิ่งไปหามาให้จนได้ค่ะ รูปที่อยู่บนแบงค์ของญี่ปุ่นไม่ใช่รูปของสมเด็จพระจรรคดิ์ แต่เป็นภาพของคนสำคัญต่าง ๆ เช่นศิลปิน ซามูไร ในประวัติศาสตร์ค่ะ น่าแปลกใช่มั้ยล่ะเพราะส่วนมากภาพในเงินของหลาย ๆ ประเทศจะเป็นรูปกษัตริย์
แบงค์ที่ใช้ในประเทศญี่ปุ่นมี ราคา 1,000, 2,000, 5,000 และ 10,000(ดูภาพที่นี่)
แบงค์ 1,000 เยน สีน้ำเงิน ปัจจุบันมีรูปของ นักแบคทีเรียวิทยา Hideyo Noguchi อยู่ด้านหน้า ด้านหลังเป็นภาพของภูเขาไฟ Fuji และซากุระ
แบงค์ 2,000 เยน สีเขียว ทำขึ้นเพื่อฉลองการประชุม G-8 Economic Summit ที่ Okinawa ด้านหน้าเป็นภาพ ประตู Shureimon จากเมือง Naha, Okinawa ด้านหลังเป็นภาพเขียนจากเรื่อง "Genji Monogatari" ที่ชื่อว่า Murasaki Shikibu เขียนโดย Kikuchi Yosai
แบงค์ 5,000 เยน สีม่วง ด้านหน้าเป็นภาพของ นักเขียนนิยาย Higuchi Ichiyo ส่วนด้านหลังเป็นภาพของ Kakitsubata-zu หรือดอก Iris
แบงค์ 10,000 เยน สีน้ำตาล ด้านหน้าเป็นภาพของนักวิชาการศึกษา Fukuzawa Yukichi ด้านหลังเป็นภาพนกฟินิกซ์ จากวัด Byodoin
ส่วนเหรียญนั้น มีเหรียญ 1, 5, 10, 50, 100 และ 500 เยน (ดูภาพที่นี่)
เหรียญ 1 เยน ทำจาก อะลูมิเนียม 100% ทำให้มีน้ำหนักเบามาก ๆ และสีออกเงิน ๆ รูปด้านหน้าเป็นภาพของต้นกล้าของต้นไม้
เหรียญ 5 เยน ทำจาก ทองแดง+สังกะสี เจาะรูตรงกลางเหรียญ สีออกทองๆ ด้านหน้าเป็นภาพรวงข้าว ,น้ำ ขอบของรูปกลางเหรียญจะมีภาพคล้าย ๆ ล้อฟันเฟือง
เหรียญ 10 เยน ทำจาก ทองแดง+สังกะสี+ดีบุก สีออกเป็นสีทองแดง มีภาพวัด Byodo-In ,Kyoto
เหรียญ 50 เยน ทำจาก โลหะผสมทองแดงและนิเกิล มีสีออกเงิน ๆ มีรูตรงกลางเหรียญ มีภาพดอกเบญจมาศอยู่บนเหรียญ
เหรียญ 100 เยน ทำจาก โลหะผสมทองแดงและนิเกิล มีสีออกเงิน ๆ มีภาพของดอกซากุระ
เหรียญ 500 เยน ทำจาก โลหะ+สังกะสี+นิเกล มีสีออกเงิน ๆ มีภาพของใบ Paulownia (ไม่รู้ว่าภาษาไทยเรียกอะไร)
|
Yakuza พอฟังแล้วก็ชวนให้ขนลุก ไม่อยากพบอยากเจอแต่ว่าก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเช่นกัน
Yakuza มี 2 ประเภท คือ
1. Family Yakuza หรือ ยากูซ่าที่มีการปกครองในแบบครอบครัว แบ่งอันดับชั้นตามผลงาน หรือจากการแต่งตั้งจากหัวหน้าใหญ่ การปกครองจะมีนายใหญ่ที่เรียกว่า "พ่อใหญ่" อันดับต่อมาคือ "พ่อเล็ก" และต่อมาคือ "ลูก ๆ " โดยสมาชิกทุกคนไม่มีคำว่า "กลัวตาย" และพร้อมจะรับคำสั่งจากพ่อใหญ่ โดยจะไม่ทำให้เกิดการผิดพลาด การจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกใหม่ของกลุ่มนี้จะมีการดื่มสาเกสาบานจากแก้วเดียวกันด้วย
2. Lone Yakuza หรือ ยากูซ่าไร้สังกัด จะไม่ขึ้นอยู่กับกลุ่มใด หรืออาจจะมีการรวมกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นโดยไม่มีการปกครองหลายชั้นเหมือนอย่างแรก แต่จะเป็นผู้มีอิทธิพลที่คอยเก็บค่าคุ้มครอง
กลุ่มใหญ่ของ yakuza โดยทั่วไปมี 4 ประเภท โดยแบ่งจากแหล่งรายได้ของ yakuza
"Bakuto" คือ นักพนัน มีทั่วไปในญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ จะอยู่ตาม บ่อนพนัน bakuto yakuza อาจจะเป็นเจ้าของบ่อน หรือเป็นผู้คุ้มครองเจ้าของบ่อน ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องเป็นนักพนันตัวยงด้วย นอกจากจะคุ้มครองบ่อนแล้วยังคุ้มครองบาร์, เล้าท์, และตามทวงหนี้เป็นต้น 
"Tekiya" คือ yakuza ที่คอยเก็บเงินจากพ่อค้าแม่ค้าที่เปิดแผงขายของตามงานเทศกาลต่าง ๆ ที่มักจะมาชุมนุมเพื่อขายของในงาน Tekiya yakuza ก็มักจะมาจากอดีตหัวหน้าพ่อค้านั่นเอง หาเงินโดยการคุ้มครองทำเลขายของ ของพ่อค้าแม่ค้าที่จ่ายเงินให้และไม่ให้ใครมาล้ำเขต หรือแย่งที่ขายของ โดยบางกลุ่มจะมีการจ้างคนเก็บกวาดร้านค้าให้พ่อค้าแม่ค้าหลังจากงานเลิกด้วย
"Uyoku" คือ กลุ่มนักการเมือง พวกเขาคือคนที่เป็นชาตินิยม, หัวโบราณ อนุรักษ์นิยม, ผู้ที่จงรักษ์ภักดิ์ดีต่อจักพรรดิ์ และเกลียดระบอบคอมมิวนิส์
"Gurentai" คือ นักเลง, อันธพาล, วายร้าย, ผู้ร้าย, ฆาตกร, อาชญากร Bakuto และ Tekiya yakuza มีกฎข้อบังคับของแก๊งที่สืบต่อกันมายาวนาน แต่สำหรับ Gurentai yakuza พวกเขาไม่มีกฎหรือนโยบายของแก๊ง ดังนั้นจึงทำทุกอย่างเพื่อเงินเท่านั้น ไม่ว่าใครก็สามารถจ้าง Gurentai yakuza ทำสิ่งที่ต้องการได้ทั้งนั้น ยังมีต่อจ้า>>
|
ชื่อ นามสกุล หรือ นามสกุล ชื่อ ยังไงกันแน่ การเรียงชื่อ สกุลของคนญี่ปุ่น ก็เช่นเดียวกับการเรียงชื่อสกุลของคนจีนและคนเกาหลี คือ นามสกุลมาก่อน แล้วจึงตามมาด้วยชื่อ เช่น ชื่อของ Kimura Takuya หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่า "Kimutaku" Kimura คือนามสกุล และ Takuya เป็นชื่อจริง สำหรับคุณแม่ของ Kimutaku ก็ต้องเรียกเขาว่า "Takuya" แน่นอนเพราะคนทั้งบ้านก็มีนามสกุล Kimura กันทั้งบ้าน (คงแปลกถ้าแม่ของตัวเองเรียกลูกด้วยนามสกุลว่า Kimura) คนญี่ปุ่นมีธรรมเนียมการเรียกนามสกุลเป็นปกติ ถึงจะเป็นเพื่อนนักเรียนหรือเพื่อนร่วมงานก็จะเรียกขานกันด้วยนามสกุล นอกจากนั้น เด็กนักเรียนชั้นอนุบาลและชั้นประถมมักจะเรียกกันด้วยชื่อตัว ดังนั้นเพื่อนนักเรียนตั้งแต่ชั้นประถมเมื่อโตขึ้นก็ยังเรียกชื่อตัวกันและกัน แต่หากมารู้จักกันเมื่อเข้าชั้นมัธยมต้นแล้ว 90% จะเรียกกันด้วยนามสกุล เช่น Utada Hikaru [Hikkie] ถ้าต้องพูดคุยกันอย่างเป็นทางการก็ต้องเรียกเขาว่า "Utada san" หรือ คุณอุทาดะ หลายคนพอเห็นเริ่มสนิทกับคนญี่ปุ่น ก็พยายามจะเรียกเขาด้วยชื่อ ซึ่งไม่ค่อย นิยมในญี่ปุ่น แต่คนญี่ปุ่นหลายคนพอมาอยู่เมืองไทยก็เลียนแบบวัฒนธรรมไทย ให้เพื่อนคนไทยเรียกชื่อตัว หรือบางคนตั้งชื่อไทยให้เรียกก็มี เช่น มีเพื่อนชื่อ Suzuki Taro ถ้ายังไม่สนิทเราก็ต้องเรียกเขาว่า "Suzuki san" พอสนิทมากขึ้นเราอาจเรียกเขาว่า "Suzuki kun" หรือถ้าสนิทกันจนซี้ปึ๊กแล้วก็สามารถเรียก "Suzuki" เฉย ๆ ก็ได้ แต่ยังไงก็ไม่นิยมเรียกชื่อ "Taro" เพราะอย่างที่บอกคนในครอบครัวเขาจะเรียกชื่อกัน การเขียนชื่อสกุลของคนญี่ปุ่นเป็นภาษาต่างชาติเช่น ภาษาอังกฤษ คนญี่ปุ่นก็จะเขียน ชื่อก่อน แล้วค่อยเขียนนามสกุล เช่น Kazuya Kamenashi เมื่อคนไทยเอาไปแปลเป็นภาษาไทยก็จึงแปลจากชื่อแล้วเป็นนามสกุลตามแบบภาษอังกฤษไปด้วย เวลาแปลเป็นไทยหากแปลจากนามสกุลและเป็นชื่อก็คงจะเหมือนกับชื่อจีนอย่างคนไทยเชื้อสายจีนเวลาเขียนชื่อตัวเอง ก็จะเป็น คุณนิกร แซ่ตั้ง และเกาหลีอย่าง แดจังกึม ถ้าเขียนนามสกุลมาก่อนก็จะเป็น จังกึม แซ่แด เป็นต้น ดังนั้นชื่อคนญี่ปุ่นหากเขียนด้วยตัวอักษรญี่ปุ่นก็จะเขียน นามสกุล แล้วตามด้วยชื่อ แต่หากชื่อเดียวกันเขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาไทย ก็จะต้องเขียนด้วย ชื่อก่อน แล้วตามด้วยนามสกุล แต่หากเป็นการเรียกขานก็ต้องเรียกนามสกุลของคนญี่ปุ่น แล้วตามด้วย ซัง คุง จัง แล้วแต่ความสนิทคะ credit : วรสาร Anone Vol.59
|
Geisha ในศตวรรษที่ 19 ทั้งภูเขาไฟฟูจิ (Fuji san) และเกอิชานั้นได้กลายเป็นชื่อที่ชาวตะวันตกถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของญี่ปุ่น ภาพพจน์ของหญิงเกอิชาที่ว่าเป็นหญิงโสเภณีและ เป็นผู้ให้ความบันเทิงนั้นแตกต่างจากภาพพจน์ที่คนญี่ปุ่นส่วนมากที่มีต่อเกอิชา แต่ทราบหรือไม่ว่าในศตวรรษที่ 17 นั้น อาชีพเกอิชา คือการให้ความบันเทิงด้วยการร้องรำและร้องเพลงและเป็นอาชีพของผู้ชาย เกอิชาผู้หญิงเพิ่งปรากฎขึ้นในศตวรรษที่ 18 และทำหน้าที่เหมือน ๆ กันโดยให้บริการและให้ความบันเทิงแก่แขกด้วยการร่ายรำ และร้องเพลงตามงานเลี้ยง เกอิชาสมัยใหม่ยังคงยึดธรรมเนียมดังกล่าวนี้อยู่ พวกเขาได้รับเชิญไปภัตตาคารแบบญี่ปุ่น ที่เรียกว่า เรียวเท เพื่อให้ความสำราญแก่แขกในงานเลี้ยงส่วนตัว ภาพพจน์ของเกอิชาจึงแตกต่างกับโสเภณีอย่างมาก ตั้งแต่มีภาพยนต์เรื่อง The memoris of a geisha ที่ฝรั่งเป็นคนสร้าง ก็ทำให้คนต่างชาติเข้าใจตัวตนขอเกอิามากขึ้น หากจะพูดว่า "เกอิชา คือศิลปะที่มีชีวิต" ก็ไม่น่าจะผิดนัก การที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเกอิชานั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะต้องผ่านการฝึกฝนศิลปะการชงชา จัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น มารยาท การร้องเพลง การฟ้อนรำ จนถึงการเดิน การย่าง ทุกกระเบียดนิ้วเรียกได้ว่ามีความอ้อนช้อยงดงาม นอกจากบุคลิกภายนอกที่ต้องฝึกฝนแล้ว เกอิชายังต้องมีอัทธยาศัยไมตรีที่ดี บนใบหน้าที่ต้องเคลือบด้วยรอยยิ้มตลอดเวลาเพื่อให้แขกมีความสุขไปด้วย การทำงานของเกอิชานั้นมักจะคิดราคาเป็นชั่วโมง ซึ่งอาจจะแพงถึงชั่วโมงละ แสนเยนก็มี เพราะฉนั้นคนที่จะใช้บริการเกอิชานั้นก็ต้องมีเงินเต็มกระเป๋า แต่พวกเธอจะไม่นอนกับแขก และไม่สามารถกระทำกับพวกเธอเหมือนโสเภณีได้ เพราะเกอิชาก็มีกฎของพวกเธอที่จะไม่ไปค้างคืนกับแขก |
Sadako Sasaki เกิด 7 มกราคม ค.ศ.1943 (พ.ศ.2486) เมื่อเธออายุได้ 2 ขวบมีการทิ้งระเบิดที่ฮิโรชิมา ทำให้ Sadako ได้รับผลพวงจากการทิ้งระเบิดครั้งนั้นคือโรคมะเร็งเม็ดโลหิต (ลูคิเมีย)
Sadako Sasaki เด็กหญิงชาวญี่ปุ่น เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเม็ดโลหิต (ลูคิเมีย) ขณะอายุได้ 11 ปี เนื่องจากได้รับสารกัมมันตภาพรังสีจากระเบิดปรมาณูที่สหรัฐฯ ทิ้งถล่มฮิโรชิมา เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ.1945 (พ.ศ.2488) ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนเสียชีวิต ซาดาโกะพยายมพับนกกะเรียนกระดาษด้วยมือที่บวมเป่งและเจ็บปวดมาก ด้วยความเชื่อว่าหากพับนกได้ครบหนึ่งพันตัว เธอจะหายจากโรคภัย แต่เธอก็จบชีวิตลงเมื่อพับนกกะเรียนได้เพียง 644 ตัวเท่านั้น ร่างของ Sadako ถูกฝั่งพร้อมกับนกกระดาษ 1,000 ตัว ที่เพื่อน ๆ ช่วยกันพับนกกระดาษจนครบ และมีการปั้นรูปปั้นของ Sadako ไว้ที่ Hiroshima Peace Park ในปี ค.ศ. 1958 โดยมีข้อความที่ฐานของรูปปั้นเรียกร้องสันติภาพ ความว่า "This is our cry, This is our prayer, Peace in the world." การต่อสู้ของซาดาโกะเป็นแรงบันดาลใจในการแสวงหาสันติภาพของคนทั่วโลก ไม่กี่ปีหลังจากซาดาโกะเสียชีวิต มีการสร้างอนุสาวรีย์ซาดาโกะขึ้นที่สวนสันติภาพ ณ เมืองฮิโรชิมาเพื่อรำลึกถึงซาดาโกะและเด็กที่เสียชีวิตจากระเบิดปรมาณูเรื่องราวของซาดาโกะเป็นทีมาของบทประพันธ์เรื่อง "ซาดาโกะกับนกกะเรียนพันตัว" (Sadako and the thousand papar cranes) อ่านต่อ> |
ปิดเทอมฤดูร้อน
นักเรียนญี่ปุ่นทำอะไรกัน เดือนกรกฎาคมนี้นอกจากจะมีเทศกาล
Tanabata แล้วประมาณวันที่ 20 ของเดือนนี้ก็จะเป็นช่วงปิดภาคเรียนภาคแรก
และมีพิธีปิดภาคเรียน เด็ก ๆ นักเรียนที่เริ่มเรียนชั้นประถมศึกษาในเดือนเมษายนที่ผ่านมาจะได้รับสมุดพกเป็นครั้งแรก
จากนั้นจะหยุดเทอมภาคฤดูร้อนเป็นเวลาประมาณ 40 วัน ในวันหยุดฤดูร้อนทางโรงเรียนจะให้การบ้าน
และพวกเด็ก ๆ มักจะออกไปทำกิจกรรมนอกสถานที่ออกค่ายพักแรม
ทัศนาจนรร่วมกับเพื่อนหรือครอบครัว ส่วนนักเรียนที่จะสอบเข้ามัธยมปลายหรือมหาวิทยาลัยนั้น
ช่วงวันหยุดฤดูร้อนจะเป็นเวลาสำหรับการเรียนแบบเร่งรัด โรงเรียนกวดวิชาหรือโรงเรียนสอนพิเศษต่าง
ๆ จะเปิดสอนภาคฤดูร้อน และมีนักเรียนเป็นจำนวนมากที่ไปเรียนที่นั่นตั้งแต่เช้าจนค่ำ
นักเรียนที่เตรียมตัวสอบจะไปเรียนที่โรงเรียนสอนพิเศษและโรงเรียนกวดวิชาต่าง
ๆ Juku (จุกุ) หมายถึง โรงเรียนสอนพิเศษสำหรับนักเรียนชั้นเล็ก
Yobiko (โยบิโค) หมายถึง โรงเรียนกวดวิชาสำหรับนักเรียนมัธยมปลาย
เพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย พวกนักเรียนจะพยายามท่องจำสาระสำคัญในแต่ละวิชาและศึกษาเทคนิคการเอาชนะในการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัย
แม้อากาศจะร้อนอบอ้าว พวกเขาก็เรียนอย่างหนัก นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรพิเศษในช่วงหยุดพักฤดูหนาวก่อนหน้าที่จะมีการสอบจริง
อีกนักเรียนบางคนเอาผ้ารัดศีรษะเพื่อแสดงความตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะเอาชนะการสอบให้ได้
ในระหว่างวันหยุดฤดูร้อนนี้ นักเรียนจะสนุกสนานกับชั้นเรียนพิเศษคือการไปพักที่บ้านพักของโรงเรียนบนเขาหรือชายทะเล
หรือตามสถานที่ราชการเป็นเวลาหลายวัน โปรแกรมนี้เรียนกว่า
การศึกษานอกสถานที่ เด็ก ๆ จะได้มีประสบการณ์การใช้ชีวิตร่วมกันไม่ว่าจะเป็นการเรียน
เล่น ร้องรำทำเพลง ทำอาหาร และอื่น ๆ บางคนก็เข้าค่ายฝึกฝนที่จัดโดยชมรมต่าง
ๆ บางคนก็เลือกจากโปรแกรมที่จัดขึ้นโดยหน่วยงานเอกชนอื่น ๆ
นอกจากนี้ นักเรียนมัธยมปลายในปัจจุบันยังนิยมไปต่างประเทศ
เพื่อพักอาศัยอยู่กับครอบครัวชาวต่างชาติอีกด้วย
|
 Tanabata
(ทะนะบะตะ) หรือเทศกาลแห่งดวงดาว เป็นเทศกาลที่แสนจะโรแมนติก
เพราะมีการเล่าสืบต่อกันมาถึงความรักที่ต่างชนชั้นกันของคนสองคน
เทศกาลนี้จะมีขึ้นทุกปีของวันที่ 7 เดือน 7 จึงเป็นที่รู้จักกันดีในภาษาอังกฤษว่า
Seven Evening ซึ่งจะเป็นค่ำคืนที่ดาว Vega (Orihime) กับดาว
Altair
(Hikohoshi) จะสุกใสสว่างที่สุดบนท้องฟ้า และจะโคจรเข้ามาใกล้กันที่สุดในรอบปี
จึงเปรียบเป็นเรื่องเล่าจากตำนานกล่าวไว้ว่า เจ้าหญิง Orihime
เป็นธิดาของเจ้าผู้ครองสวรรค์ และมีฝีมือในการทอผ้าที่วิจิตรงดงาม
ทั้งสองมีปราสาทอยู่ทางทิศตะวันออกของสวรรค์ เมื่อบิดาของเจ้าหญิงเห็นว่าเจ้าหญิงได้ทอผ้าไม่เคยหยุดพักเลย
จึงได้คิดที่จะให้เจ้าหญิงเป็นฝั่งเป็นฝา และได้ข่าวว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อ
Hikohoshi ซึ่งเลี้ยงวัวอยู่ทางทิศตะวันตก อีกฟากหนึ่งของสวรรค์เขาเป็นคนที่มีความกล้าหาญ
และขยัน จึงได้แนะนำให้ทั้งคู่รู้จักกัน และรักกันในที่สุด
แต่เมื่อเจ้าหญิง Orihime เกิดความรักกับ Hikohoshi จนไม่ได้ทอผ้าไปถวายพระบิดาอีก
และละเลยหน้าที่ของตน จึงทำให้บิดาโกรธมาก จึงได้ส่ง Hikohoshi
กลับไปเลี้ยงวัวตามเดิม และความรักของทั้งคู่ก็ถูกกั้นด้วยสายน้ำแห่งทางช้างเผือก
ซึ่งทำให้เจ้าหญิงเสียใจมากและเอาแต่ร้องไห้และไม่สามารถทอผ้าได้อีก
พระบิดาเห็นดังนั้นจึงได้ให้คำมั่นสัญญากับเจ้าหญิงว่า เมื่อถึงวันที่
7 เดือน 7 จะให้ทั้งสองได้พบกัน โดยเมื่อถึงวันนั้นบรรดานก
Kasasagi ก็จะมารวมตัวกันเป็นสะพานข้ามทางช้างเผือกทำให้ทั้งคู่ได้พบกัน....
แต่ตำนานนี้ก็อาจจะมีการผิดเพี้ยนไปบ้างเพราะว่าแต่ละแห่งก็เล่าไม่เหมือนกัน
แต่ก็มีส่วนใกล้เคียงกันมาก ส่วนกิจกรรมในวันนี้ที่ญี่ปุ่นจะมีการนำกระดาษ
5 สี หรือ (Tanzaku) มาเขียนคำอธิฐานทั้งเรืองงาน ความรัก
การเรียน สุขภาพ เป็นต้น และยังมีการนำกระดาษมาตัดเป็นรูปคล้าย
ๆ โซ่แทนสัญลักษณ์ของทางช้างเผือก แล้วนำไปแขวนไว้ที่ต้นไผ่
และนำมาประดับไว้ตามบ้าน วัด หรือโรงเรียน และยังมีขบวนพาเหรดแห่กันใหญ่โตและสวยงาม
เทศกาลนี้จึงเป็นเทศกาลที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดอีกเทศกาลหนึ่ง
โดยเฉพาะจังหวัด
Miyagi และ Kanagawa |
kokoro
zuke โคโคโรซึเกะ เป็นคำโบราณที่เข้าใจกันในความหมายว่า "เงินโบนัส" นั่นเอง คนญี่ปุ่นที่ทำงานในบริษัท
"salary man" จะได้รับเงินโบนัสก้อนใหญ่ช่วงสิ้นปี
และช่วงกลางปีคือเดือนมิถุนายนนี้ เงินโบนัสที่ญี่ปุ่นที่เรียกว่าก้อนใหญ่นั้นใหญ่จริง
ๆ เพราะบางบริษัทมีการจ่ายเงินโบนัสให้พนักงานถึง 5 เท่าของเงินเดือน
แต่ก็แล้วแต่บริษัทและสภาพเศฐกิจในขณะนั้นด้วย แต่เท่าที่สอบถามจากเพื่อนที่อยู่ญี่ปุ่น
เห็นบ่น ๆ ว่าโบนัสที่ได้ก็ได้แค่ 3 เท่า เพราะเศษฐกิจไม่ค่อยจะดี
สำหรับเงินเดือนของเด็กที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยนั้น ปกติจะได้เฉลี่ยอยู่ที่คนละ
60,000 บ. หรือมากกว่าแล้วแต่บริษัท แต่ก็อย่าเพิ่งตาโตเมื่อเห็นว่าเขามีเงินเดือนถึงหกหมื่น
แต่ค่าเช่าห้องพักก็ปาเข้าไปสามหมื่นห้า ค่าอาหารมื้อละประมาณ
300 บ. ทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง ห้าทุ่ม บางวันถึงกับต้องนอนที่ทำงานเพราะรถไฟเที่ยวสุดท้ายหมด
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องสงสัยว่าทำไมที่ญี่ปุ่นถึงจ่ายโบนัสก้อนโตขนาดนี้
สำหรับการจ่ายโบนัสนอกจากจะจ่ายในบริษัทแล้ว ยังมีการนิยมให้กับคนรับใช้
คนขับรถ หรือลูกจ้างอื่น ๆ เพื่อเป็นการแสดงความขอบใจ และมักจะให้ในโอกาสพิเศษต่าง
ๆ โดยจะต้องใส่ซองที่เรียกกันว่า shugibukuro (ชิวหงิบุกุโระ)
หาซื้อได้ทั่วไปในญี่ปุ่นทั้งร้านสะดวกซื้อ ร้าน 100 เยน ตามสถานีรถไฟก็ยังมี
หรือตามร้านขายเครื่องเขียน เป็นต้น แม้ว่าที่ญี่ปุ่นจะมีการให้เงินโบนัสกับพนักงานบริษัท
หรือลูกจ้างทั่วไป แต่ก็ไม่มีการให้ทิปกับผู้ให้บริการต่าง
ๆ เช่นพนักงานเสริฟตามร้านอาหาร พนักงานร้านคาราโอะเกะ หรือพนักงานโรงแรมก็จะไม่มีการให้ทิป
เนื่องจากสถานบริการต่าง ๆ ได้บวกค่าบริการไปเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งก็เรียกได้ว่าเป็นวัฒนธรรมที่แปลกไม่เหมือนชาติไหน ๆ ในโลก
และหากเจอคนญี่ปุ่นที่เพิ่งมาเที่ยวเมืองไทย และไม่เคยให้ทิปกับพนักงานเสริฟก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะเขาอาจจะไม่รู้วัฒนธรรมของบ้านเราก็ได้ |
พฤษภาคม
Golden Week เป็นวันหยุดยาวของประเทศญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นนักเรียน
นักศึกษา คนทำงาน หรือร้านค้าต่าง ๆ ก็จะมีวันหยุดยาวเช่นกัน
โดยเริ่มหยุดกันมาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนคือวันที่ 29 เมษา
- วันอนุรักษ์ต้นไม้ (Midori-no hi) 3 พฤษภา - วันรัฐธรรมนูญ
(Kenpou Kinenbi) , 4 พฤษภา - วันหยุดประชาชาติ (Kokumin-no
Kyuujitsu), 5 พฤษภา - วันเด็ก (Kodomo-no hi) ในวันนี้ครอบครัวที่มีลูกชายจะปักธง
Koi nobori หรือธงปลาคาร์ฟซึ่งเป็นปลาที่สามารถว่ายทวนกระแสน้ำได้
ประเพณีนี้สืบทอดมาจากประเทศจีน ที่เชื่อกันว่าเมื่อปลาคาร์ฟว่ายทวนกระแสน้ำในแม่น้ำเหลืองได้ก็จะกลายเป็นมังกรในที่สุด
ธงปลาคาร์ฟที่นิยมใช้จะมีขนาดประมาณ 1-2 เมตร และมักจะติดไว้ที่ระเบียงอพาร์ตเมนท์
และจะมีการประดับตุ๊กตานักรบและหมวกนักรบ Kabuto ด้วยเพื่อให้เด็กเติบโตมาด้วยความแข็งแรงเหมือนนักรบ
แต่ในปัจจุบันคงเหลือแต่การประดับเฉพาะหมวก Kabuto เท่านั้น
เพราะบ้านและอพาร์ตเมนท์ในเมืองมีขนาดเล็กและพื้นที่จำกัด
สำหรับช่วง Golden Week นั้นหากปีไหนคาบเกี่ยวกับวันเสาร์
อาทิตย์ด้วยก็จะยิ่งได้หยุดนานกว่า 10 วันเลยทีเดียว คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะเดินทางออกไปนอกประเทศในเทศกาล
Golden Week นี้ รับรองว่าในเมืองไทยก็จะเห็นชาวญี่ปุ่นเดินขวักไขว่อยู่ตามแหล่งท่องเที่ยวต่าง
ๆ ของไทย ส่วนวันอาทิตย์ที่สองของเดือนพฤษภาคมก็เป็นวันแม่แห่งชาติ
ที่ลูก ๆ ทุกคนจะมอบดอกคาเนชั่นสีแดงให้กับแม่ เดือนพฤษภาคมยังเป็นฤดูกาลเก็บเกี่ยวใบชาอ่อน
ผู้คนนิยมรับประทานน้ำชาที่ทำจากใบชาอ่อนซึ่งผลิใบหลังเข้าฤดูใบไม้ผลิได้
88 วัน เพราะมีกลิ่นหอม และรสชาติดี และในเดือนนี้เป็นเดือนที่มีความสดชื่น
ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม คนญี่ปุ่นเรียกวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสว่า "Satsuki bare" ตามโรงเรียนต่าง ๆ มักจะจัดให้มีกิจกรรมการเดินทางเที่ยว
ปิคนิคหรือ การแข่งกีฬาในโรงเรียน มาพับหมวก
Kabuto กันเถอะ! |
ดาบญี่ปุ่น
katana มีความงดงามในตัวเอง และเมื่อจับก็จับได้กระชับมือที่สุด
ลักษณะของเดาญี่ปุ่นในยุคก่อน เป็นดาบตรงแต่คมทั้งสองด้าน
ยาวประ มาณ 3 ฟุต และหนักจึงต้องใช้สองมือจับแล้วฟัน เมื่อมาถึงยุคกลางและยุคหลัง
ลักษณะของดาบก็สั้นลง น้ำหนักเบาขึ้น มีด้านคมด้านเดียว
ใบมีดเริ่มโค้งเอียงเล็กน้อย เรียกกันในภาษาญี่ปุ่นว่า "วาคิซาคิ" หรือกริช ยาวประมาณเก้านิ้วครึ่ง ดาบนี้นับเป็นดาบที่มีขนาดสั้นมาก
ใช้สำหรับท่าฮาราคีรีได้ดี เพราะแทงตนเองได้ง่าย ในขณะที่ดาบยาวยุคก่อน
เหมาะสำหรับต่อสู้กับศัตรูมากกว่า ดาบญี่ปุ่นเป็นเหล็กที่ยืดหยุ่นได้
ดูเหมือนอ่อนแต่แข็ง และเป็นเหล็กผสมด้วยเหล็กกล้าอย่างดี
การหลอมปลายทำขึ้นอย่างระวังในเตาหลอม แม้แต่เวลาที่จะทำให้เย็นลง
ก็ต้องใช้น้ำเย็นช่วย จึงเห็นได้ว่าปลายดาบคมกริบ มีสีและแสงเงาวาววับ
ดาบเก่า ๆ ใช้สำหรับแทงมากกว่าฟัน แบบดาบที่เราเคยเห็นกัน
เวลาเก็บก็เก็บไว้ให้สูงจากเอว มากกว่าใส่ไว้ในสายสะพาย
หากไปเที่ยวตามพิพิธภันณฑ์สำคัญ ๆ ทั่วโลก ที่แสดงศิลปะตะวันออก
ดาบญี่ปุ่นก็อยู่ในข่ายนี้ ด้วยเหตุที่มีความงามในตัวเอง
ประเทศญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลการทำดาบมากจากจีน ดาบซามูไรแท้นั้นจะไม่ใช่เหล็กฝรั่งแต่จะใช้เหล็กญี่ปุ่น
ซึ่งสามารถพับทบได้ และใช้ตีให้ขึ้นรูปได้ โดยใช้ผงเหล็ก
200 ก.ก.กับถ่าน 600 ก.ก. ซึ่งสุดท้ายแล้วจะได้ดาบสำเร็จหนัก
10 ก.ก. เท่านั้น พื้นที่ผลิตนั้นจะถูกบวงสรวงให้เป็นพระเจ้าเรียกว่า
Amanomahitotsunokami จากนั้นผู้ผลิตจะใส่กำลังและจิตวิญญาณแก่ดาบ
ผลิตดาบหนึ่งเล่มใช้เวลา 2 อาทิตย์ ดาบนั้นมีอยู่หลายชนิด
แต่ดาบซามูไร (nihontou)มีคุณภาพ เป็นศิลปะ และเต็มไปด้วยจิตวิญญาณสูงที่สุดในโลก
ดาบซามูไรมีคุณค่าในตัวของมันเอง คุณจะเห็นว่าดาบฝรั่งที่เก่า
ๆ นั้นมีน้อย แต่สำหรับดาบซามูไรถือเป็นเรื่องปกติ หากว่าขึ้นสนิมเพียงแต่ได้รับการลับก็จะกลับมามีชีวิตดังเดิมเราสามารถส่งมอบให้เป็นมรดกตกทอดได้
ไม่ว่าจะเป็นมรดกครอบครัวหรือแม้แต่มรดกของชาติ การซื้อดาบ
ซามูไรไม่ใช่กิจส่วนตัว ไม่ใช่ของใช้แล้วทิ้ง เรามีหน้าที่ส่งต่อให้คนรุ่นต่อไป credit :: samuraithai
|
ขอกระดุมเม็ดที่ 2 นะคะ ใครที่ชอบอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นโดยเฉพาะการ์ตูนตาหวาน
หรือการ์ตูนผู้หญิงคงจะจำฉากที่นางเอก หรือรุ่นน้องสาว ๆ
ไปขอกระดุมเม็ดที่สองของรุ่นพี่ หรือชายหนุ่มร่วมโรงเรียนไว้เป็นที่ระลึกในวันพิธีจบการศึกษาซึ่งจะมีกันในเดือนมีนาคมนี้
ที่ญี่ปุ่นเขาทำแบบนี้กันจริง ๆ ไม่ใช่อิงนิยาย (การ์ตูน)
หรอกนะคะ ก็สาว ๆ ญี่ปุ่นเขาเชื่อกันว่า ถ้าได้กระดุมเม็ดที่สองของชายหนุ่มที่ตัวเองชอบมาครอบครองแล้วก็เท่ากับได้ใจของเขามาด้วยล่ะ
โอ้..พระเจ้าจอร์ทมันยอดมาก เพียงแค่ขอกระดุมมาก็ได้ใจแล้วเหรอเนี้ย..
ช่างคิด ช่างจิตนาการกันจริง ๆ เลยนะคะสาว ๆ ญี่ปุ่นเนี้ย..
เหตุก็เพราะว่ากระดุมเม็ดที่หนึ่งมันติดคอหอย ส่วนเม็ดที่สองก็ติดหัวใจไงล่ะคะ
สำหรับชาวต่างชาติอย่างเราคงยากจะเข้าใจถึงประเพณีแบบนี้นะคะ
หากไม่ดูตาม้าตาเรือ ดันไปขอกระดุมเม็ดที่หนึ่งมาก็คงเท่ากับขอคอหอยของหนุ่ม
ๆ มาแทนที่จะได้ เม็ดที่สองแทนหัวใจ .. ในเดือนมีนาคมมีวันสำคัญต่าง
ๆ ดังนี้ วันที่ 3 Hinamatsuri (เทศกาลตุ๊กตา) เป็นเทศกาลของเด็กผู้หญิง ที่บ้านที่มีลูกสาวจะจัดชั้นวางตุ๊กตาเพื่อตกแต่ง
และขอพรให้ลูกสาวของตน - วันที่ 12
Omizutori (เทศกาลฉลองน้ำและไฟ) ในวันนี้ตอนดึก ๆ
จะมีงานที่วัด โทไดจิ ในจังหวัดนาราถือเป็นประเพณีที่สำคัญงานหนึ่งในแถบคันไซที่บ่งบอกว่าฤดุใบไม้ผลิมาถึงแล้วนะ
- วันที่ 21 Shubun no hi เป็นวันที่กลางวันกลางคืนยาวเท่ากันช่วงก่อนหรือหลังจากวันนี้ราว
1 สัปดาห์ จะเป็นช่วงที่สมาชิกในครอบครัวไปกราบไหว้สุสานของบรรพบุรุษซึ่งเรียกว่า
โอฮิงัน นอกจากนั้นเดือนมีนานี้ยังเป็นช่วงที่สิ้นสุดปีการศึกษา
มีพิธีรับปริญญา พิธีรับประกาศนียบัตร ซึ่งนักเรียนแต่ละชั้นก็จะได้รับประกาศนียบัตรหรือปริญญาบัตร
หลังจากเสร็จพิธีแล้วจะมีงานเลี้ยงขอบคุณอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนเรามา
ที่เรียกกันว่า ชาองไค (Shaonkai) สำหรับผู้ที่ทำงานบริษัทจะเป็นช่วงปิดงบประมาณ
และเป็นฤดูแห่งการโยกย้าย ไม่ว่าจะย้ายที่ทำงาน ย้ายบ้าน
หรือย้ายโรงเรียนด้วยคะ Credit
::
Anone Mag & Nihon no kurashi
12 katsu.
|
Hina Matsuri ในกลางช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี
เกือบทุกบ้านในญี่ปุ่น ที่มีลูกสาวจะใช้เวลาในการเตรียมพื้นที่ในบ้านสำหรับทำชั้นวางตุ๊กตาที่ทำอย่างปราณีตเพื่อต้อนรับเทศกาล
Hina Matsuri หรือ เทศกาลตุ๊กตา เพื่อเป็นการช่วยให้ลูกสาวของตนเติบโตอย่างสมบูรณ์
และอวยพรให้บุตรสาวมีความสุขดั่งเช่นที่เคยปฎิบัติมาทุกปี
เทศกาลตุ๊กตา หรือเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่าเทศกาลลูกท้อหรือ
Momo-no-Sekku มีขึ้นในวันที่ 3 มีนาคม ในสมัยก่อนตุ๊กตาที่ใช้ประดับนั้นจะทำขึ้นมาด้วยการประดิษฐ์กันเองในบ้าน
แต่ในปัจจุบันนั้นมีการทำเป็นอุตสาหกรรม สำหรับการจัดตุ๊กตาในบ้านนั้นจะต้องประกอบไปด้วยดอกท้อ,
เค้กที่ทำจากข้าว หรือ hishimochi, สาเก เป็นต้น เทศกาลนี้เริ่มมีมาตั้งแต่สมัย
Edo หรือประมาณปี ค.ศ. 1603-1867 ตุ๊กตาที่นำมาจัดโชว์ที่บ้านนั้นจะมีตัวหลัก
ๆ อยู่สองตัวคือตุ๊กตาเจ้าชายหรือที่เรียกว่า "Odairi-sama,"
และตุ๊กตาเจ้าหญิงหรือ "Ohina-sama," ซึ่งจะต้องวางไว้ในส่วนบนสุดของชั้น
Hinamatsuri หรือ เทศกาลของเด็กผู้หญิง วันนี้จะมีการอธิฐานขอพรให้กับเด็กหญิงเพื่อให้เติบโตขึ้นอย่างมีความสุข
ตามบ้านส่วนมากจะมีการประดับประดาด้วยตุ๊กตาที่ตบแต่งอย่างสวยงามด้วยชุดกิโมโนเต็มยศในแบบโบราณ
ครอบครัวที่มีลูกสาวจะมีการเลี้ยงฉลองเพื่อแสดงถึงความยินดีต่อการเติบโต
ในวันนี้จะมีการดื่มเหล้าสาเกเพื่อเป็นการอวยพรในความสำคัญของเทศกาลนี้มีจุดดีตรงที่ยกย่องเพศหญิง
แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญและการให้กำลังใจเพศหญิงซึ่งต่อไปจะต้องเป็นหลักในการดูแลลูก
| วัดความรู้เกี่ยวกับ
Hina Matsuri | DL
วิธีพับตุ๊กตา Odairi&Ohina [origami.jpeg]
|
 Omamori
เครื่องรางญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นยังคงมีความเชื่อเรื่องเครื่องรางของขลังที่จะช่วยป้องกันตัวเองจากสิ่งไม่ดี
หรือเพื่อทำให้มีโชคดีในเรื่องต่าง ๆ ถึงแม้ว่าญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีความพัฒนาในด้านความเจริญในหลาย
ๆ ด้านแต่กลับยังมีความเชื่อในเรื่องเหล่านี้อย่างเหนียวแน่น
วัยรุ่นญี่ปุ่นก็ยังนิยมพกเครื่องรางเหล่านี้ติดตัวเพื่อให้ช่วยในเรื่องต่าง
ๆ บางคนมีติดตัวหลาย ๆ ชิ้น ไม่ว่าจะเป็นพกเพื่อ ป้องกันอุบัติเหตุ
ให้ขับรถปลอดภัย , เครื่องรางช่วยให้หายป่วย, เครื่องรางช่วยให้มีโชคในเรื่องของความรัก
หรือแม้แต่เครื่องรางช่วยให้เรียนดี สอบได้ ก็ยังมี หากจะเปรียบเครื่องรางของประเทศญี่ปุ่นแล้วก็คงจะคล้าย
ๆ กับยันต์ของไทยที่ลงคาถาอาคมณ์เพื่อกันผีบ้าง เพื่อให้ค้าขายรุ่งเรือง
แต่ยันต์เพื่อให้มีโชคเรื่องความรักของไทยเรายังไม่เคยเห็น
นอกจากในไทยจะเป็นแผ่นผ้ายันต์แล้ว ก็ยังมีด้ายสายสินญ์
หรือห้อยพระไปเลย วัยรุ่นไทยไม่ค่อยนิยมห้อยพระเครื่อง หรือผูกด้ายสายสินญ์ที่ข้อมือเพราะดูแล้วไม่เท่ห์
แต่สำหรับเครื่องรางญี่ปุ่นหรือ omamori มักจะมีการออกแบบได้อย่างน่ารัก
น่าใช้ สีสันมีตั้งแต่สีแดงนำโชค สีขาว สีม่วง สีน้ำเงิน
จนกระทั่งสีฟ้า สีชมพู ดูแล้วน่ารัก หน้าใช้เป็นที่สุด Omamori
มีมากมายหลายแบบทั้งแบบสี่เหลี่ยมที่ด้านนอกเป็นผ้าไหม ปักลวดลายแบบญี่ปุ่น
หรือแบบเอาใจวัยรุ่นด้วยดีไซน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น เครื่องรางของ
Sario อย่าง Kitty หรือแม้แต่เครื่องรางโดราเอม่อน ก็ยังมี
ในปัจจุบันตามวัด หรือศาลเจ้าแต่ละแห่ง มักจะทำ Omamori
จำหน่ายกันทุกแห่ง เรียกได้ว่าหากไปเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่นต้องมี
Omamori กลับมาฝากเพื่อน ฝากแฟน หรือครอบครัว หรือใครที่มีเพื่อน
หรือคนรู้จักเป็นคนญี่ปุ่นก็คงเคยได้รับ Omamori เป็นของฝากกันอย่างแน่นอน
เรื่องราคาของ Omamori นั้นมีตั้งแต่ 100 เยน ไปจนถึง หมื่นเยนเลยก็มี
ยิ่งหากเป็นเครื่องรางจากวัด หรือศาลเจ้าชื่อดัง ที่ผ่านการทำพิธีจากพระชื่อดังก็จะยิ่งมาราคามากยิ่งขึ้น
ในสมัยโบราณความหมายที่แท้จริงของ Omamori นั้นเพื่อให้มีความสุข
ความก้าวหน้า ป้องกันภัยอันตราย แต่สำหรับในปัจจุบันกลับกลายเป็นธุรกิจใหญ่ของญี่ปุ่นอีกธุรกิจหนึ่งเลยทีเดียว
|
Oni wa soto!! Fuku wa uchi!! วันที่ 3 กุมภาพันธ์ เป็นวัน
Setsubun ตามปฎิทินทางจันทรคติถือเป็นวันที่แบ่งฤดูหนาว
และฤดูใบไม้ผลิออกจากกัน ในวัน Setsubun จะมีประเพณี Mamemaki
หรือการโปรยถั่ว เพื่อขับไล่ภูตผีปีศาจออกไปและต้อนรับฤดูใบไม้ผลิใหม่ที่จะมาถึง
ตามวัดจะมีเทศกาลโปรยถั่ว ผู้คนจำนวนมากจะเฝ้าดูการโปรยถั่ว
ซึ่งผู้ที่โปรยเป็นชายหรือหญิงซึ่งปีที่เกิดตรงกับปีนั้น
ๆ สำหรับตามบ้านทั่วไปพ่อแม่ลูกก็มักจะโปรยถั่วกันในห้องนั่งเล่น
และโปรยออกมาทางประตูบ้าน พร้อมกับพูดว่า "โอะนิวะโซโตะ
ฟุกุวะอุจิ" ซึ่งแปลว่า ภูตผีปีศาจจงออกไป ความสุขจงเข้ามา
นอกจากจะใช้ถั่วโปรยหรือปาเพื่อขับไล่ปีศาจแล้วคนทั่วไป
ก็ยังมักจะกินถั่วตามจำนวนเท่าอายุของตน โดยบวกอีกหนึ่งเม็ดสำหรับปีถัดไป
เพื่อความเจริญรุ่งเรื่อง, ความโชคดี และเป็นศิริมงคลกับตัวเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ชายถ้าอายุ 25 , 42 หรือผู้หญิงที่มีอายุ
19 และ 33 ปี คนญี่ปุ่นเขาถือว่าเป็นช่วงอายุที่ไม่ค่อยจะดี
ยิ่งควรจะต้องกินถั่วตามจำนวนอายุของตน ดาราหนัง, นักร้อง,
เกอิชา และ ซูโม แม้แต่นักมวยปล้ำ ก็ยังเข้าร่วมในพิธีการปาถั่วนี้
ตามวัด หรือศาลเจ้าใหญ่ ๆ เพื่อขจัดความโชคร้านต่าง ๆ ออกไปจากตัว
ในวัดและศาลเจ้าจะคับคั่งไปด้วยผู้คนที่เบียดเสียด ยัดเยียดกันเพื่อปาถั่วในวัด
อย่างวัดใหญ่ ๆ อย่าง Asakusa Sensoji , ศาลเจ้า Kanda Myojin
และ ศาลเจ้า Hie ก็ยิ่งมีคนไปเยอะเป็นพิเศษ พอเช้าในวันที่
4 กุมภาพันธ์ เป็นวัน Risshun (ริชชุน) คือวันเริ่มต้นของฤดูใบไม้ผลิ
แต่จริง ๆ อากาศก็ยังหนาวมากอยู่ แต่ดอกบ๊วยและดอกจุ๊ยเซียน
หรือแดฟโฟดิล ก็จะเริ่มบานส่งกลิ่นหอมหวลในบรรยากาศที่เยือกเย็น
หลังช่วงกลางเดือนไปแล้ว Haruichiban (ฮารุอิจิบัง) ก็จะมา
ซึ่งก็คือลมแรงที่พัดมาจากทางทิศใต้บอกให้รู้ว่า ฤดูใบไม้ผลิจะมาถึงแล้ว
ผู้คนก็จะเฝ้ารอคอยฤดูใบไม้ผลิที่ค่อย ๆ ย่างก้าวเข้ามา
|
รู้จักราชวงศ์ญี่ปุ่น
ประเทศญี่ปุ่นมีการปกครองโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเหมือนประเทศไทย
หรือที่เรียกว่า ราชาธิปไตย ราชวงศ์ญี่ปุ่นมีการสืบทอดสัตติวงศ์มายาวนานราชวงศ์หนึ่งในโลกยาวนานถึง
6 ศตวรรษ ถึงแม้จะเรียกกษัตย์ว่า Tenno [จักรพรรดิ] หรือ
Sumera Mikoto [ผู้มีอำนาจมาจากสวรรค์] เป็นคำจำกัดความของกษัตริย์ญี่ปุ่น
สัญญาลักษณ์ประจำราชวงศ์ก็คือ KIKU หรือ ดอกเบญจมาศ ราชวงศ์ญี่ปุ่นเคยได้รับการเคารพ
และเป็นที่นักนับถือของประชาชนญี่ปุ่นมาช้านาน จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง
ศาลรัฐธรรมนูญได้จัดให้ราชวงศ์ญี่ปุ่นเป็น "สัญญาลักษณ์ของประเทศ" ในการประกอบพิธีการต่าง ๆ สมเด็จพระจักรพรรดิ์ และจักรกพรรดินี
สมเด็จพระจักรพรรดิ์ Akihito (Heisei) ขึ้นครองอำนาจเมื่อวันที่
7 มกราคม 1989 หลังจากที่จักรพรรดิ Hirohito พระบิดาทรงสวรรคต
สมเด็จพระจักรพรรดิ์ Akihito ทรงประสูตที่โตเกียว เมื่อวันที่
23 ธันวาคม 1933 ทรงเรียนจบมาจาก Gakushuin University เป็นสถาบันทางด้านกฎหมาย
ในปี 1956 - 1959 ทรงอภิเษกสมสรกับ Shoda Michiko ซึ่งจบจากมหาวิทยาลัย
Seishin Jyoshi หรือ University of the Sacred Heart
ทั้งสองพระองค์ได้ให้กำเนิดเจ้าชายสองพระองค์ และเจ้าหญิงหนึ่งพระองค์
และทรงชื่นชอบการท่องเที่ยวโดยทั้งสองพระองค์ทรงท่องเที่ยวไปทั่วโลก
และเจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ และทั้งสองพระองค์ก็ทรงโปรดปรานกีฬาเทนนิส
เมื่อครั้นที่พบกันครั้งแรกก็พบกันที่คอร์ทเทนนิสนั่นเอง
สำหรับองค์จักรพรรดินี Michiko เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนเกี่ยวกับการวางตัวของสตรีสูงศักดิ์
เสียงของพระองค์นั้นนุ่มนวลอย่างน่าอัศจรรย์ พระพักดิ์ของพระองค์ดูเยือกเย็น
แต่แฝงด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น อ่านต่อ>>
|

|
|